Trending Now

เชื่อว่าตอนนี้หลายๆ คนคงจะรู้สึกเหนื่อยล้าจากการทำงานกันอยู่ไม่มากก็น้อย และพอรู้สึกเหนื่อยแบบนี้แล้วก็ไม่อยากจะทำอะไรทั้งนั้น ถึงแม้ว่าจะมีงานหลายอย่างที่ต้องทำมากๆ ก็ตาม วันนี้เราเลยอยากแวะมาแชร์ทริค 7 วิธี Productive ชวนทุกคนมาเติมไฟให้ตัวเองกัน ลองมาปรับตารางชีวิตให้สมดุล มี work life balance ที่ดีกันดูสักตั้ง !

เพราะบางทีถ้าได้ลองปรับเปลี่ยน ทั้งกิจวัตรประจำวัน วิธีการทำงาน และการดูแลตัวเอง อาจทำให้เรารู้สึก productive มีแรงบันดาลใจ และแฮปปี้ขึ้นกว่าเดิมก็ได้นะ เราจะได้ทำงานให้มีประสิทธิภาพและได้ใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่กว่าที่เคยกัน ถ้าพร้อมแล้วก็ไปดูกันได้เลย! (◕ ᴗ ◕„)ノ


#1 เขียน To-Do-List วางแผนประจำวัน

แน่นอนว่า วิธี Productive สุดเบสิกที่เชื่อว่าหลายๆ คนน่าจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว ซึ่งวันนี้ก็ขอแวะมาแชร์เป็นทริคแรกเลยก็คือ ‘To-Do-List’ การเขียนสิ่งที่ต้องทำในวันนั้นๆ ให้ฟีลประมาณวางแผนประจำวันนั่นเอง หลังจากเราตื่นนอนและทำธุระเสร็จเรียบร้อย เตรียมพร้อมจะเริ่มทำงานแล้ว เราก็อาจจะลองเริ่มต้นด้วยการเขียน To-Do-List ว่าวันนี้เราต้องทำงานอะไรบ้าง และแบ่งงานตามลำดับความสำคัญ โดยอาจจะมีการกำหนดช่วงเวลาที่ชัดเจนเข้าไปด้วย อย่างเช่นว่า งาน A ต้องทำให้เสร็จภายใน 17.00 น. หรือ งาน B มีกำหนดส่งให้ลูกค้าเวลา 12.00 น. เป็นต้น

การเขียน To-Do-List คงจะเป็นทริคที่เบสิกที่สุด แต่ก็เรียกได้ว่าเป็นก้าวแรกที่สำคัญมากๆ เพราะมันจะช่วยเพิ่มความ productive ได้ดีแบบสุดๆ ทั้งช่วยให้เราได้กลับมารีเช็คตัวเองและงานที่ต้องทำอีกครั้งก่อนเริ่มทำ และช่วยให้เราได้จัดลำดับความสำคัญและเห็นภาพรวมทั้งหมดอีกด้วย ถึงจะเป็นทริคที่เบสิก แต่ก็ห้ามลืมทำเด็ดขาดเลยนะ ! (◕ ᴗ ◕„)ノ

แชร์ทริค 7 วิธี Productive ชวนเติมไฟให้ตัวเอง ปรับชีวิตให้สมดุล ทำงานให้มีประสิทธิภาพกว่าที่เคย! Zipevent

  • รีเช็คตัวเองและงานที่ต้องทำในวันนั้นๆ !
    วางแผนว่าวันนี้ต้องทำอะไรบ้าง พร้อมแบ่งงานตามลำดับความสำคัญ
    ( งานสำคัญ งานเร่ง และงานอื่นๆ )
  • อย่าลืม ! กำหนดช่วงเวลาที่ชัดเจนเข้าไปด้วย ( ¨̮ )
    งาน A ต้องทำให้เสร็จภายใน 17.00 น.
    งาน B กำหนดส่งให้ลูกค้า เวลา 12.00 น.
    งาน C กำหนดส่งวันที่ 18 มิ.ย. 2568 / เวลา 18.00 น.

#2 ใช้เทคนิค 3-3-3
ช่วยจัดสรรเวลาให้ดีกว่าเดิม

ทริคที่สองหลังจากเราได้เขียน To-Do-List กันไปแล้วก็คือ ‘เทคนิค 3-3-3’ บางคนอาจจะเคยได้ยินหรือเห็นผ่านตากันมาบ้างไม่มากก็น้อย แต่วันนี้เราจะพาทุกคนไปทำรู้จักกับเทคนิคนี้กันให้มากขึ้น บอกเลยว่าเป็นอีกทริคที่จะช่วยเราจัดสรรเวลาได้ดียิ่งกว่าเดิมแน่นอน !

The 3-3-3 Method หรือ เทคนิค 3-3-3 ถูกพัฒนาขึ้นโดย Oliver Burkeman นักเขียนและนักข่าวชาวอังกฤษ เป็นวิธีการจัดสรรเวลาในการทำงาน โดยแบ่งออกเป็น 3 ช่วงเวลาหลักๆ ด้วยกัน ได้แก่ 3 ชั่วโมงแรก สำหรับงานที่สำคัญที่สุดในแต่ละวัน, 3 ชั่วโมงต่อมา สำหรับ งานด่วนหรืองานสั้นๆ ที่เราพยายามหลีกเลี่ยงหรือขี้เกียจจะทำ และ 3 ชั่วโมงสุดท้าย สำหรับกิจกรรมบำรุงรักษา ในที่นี้อาจหมายถึงทั้งการพักผ่อนและการทำกิจวัตรประจำวันของเรา

  • 3 ชั่วโมงแรก : งานสำคัญ
    แน่นอนว่า 3 ชั่วโมงแรก จะต้องเป็นช่วงเวลาสำหรับงานที่สำคัญที่สุดในแต่ละวัน
    ที่เราต้องใช้สมาธิและสามารถโฟกัสกับงานได้มากที่สุด
  • 3 ชั่วโมงต่อมา : งานด่วน
    หรืออาจจะเป็นงานสั้นๆ ที่เราพยายามหลีกเลี่ยงหรือขี้เกียจจะทำ
    และไม่ต้องใช้สมาธิจดจ่อถึง 3 ชั่วโมงเต็ม
  • 3 ชั่วโมงสุดท้าย : กิจกรรมบำรุงรักษา
    ในที่นี้หมายถึงทั้งการนอนพักผ่อน การทำงานอดิเรก อย่างดูหนัง ฟังเพลง หรือออกกำลังกาย
    รวมถึงการทำกิจวัตรประจำวันของเรา เพื่อช่วยให้สมองได้พักผ่อนและชีวิตมีระเบียบนั่นเอง
แชร์ทริค 7 วิธี Productive ชวนเติมไฟให้ตัวเอง ปรับชีวิตให้สมดุล ทำงานให้มีประสิทธิภาพกว่าที่เคย! Zipevent

บอกเลยว่า เทคนิค 3-3-3 อันนี้นี่แหละที่จะช่วยให้ทุกคนสามารถจัดสรรเวลาและแบ่งงานได้อย่างเป็นสัดส่วนแบบชัดเจนมากขึ้น เพราะการแบ่ง task ออกเป็น 3 ส่วนนั้นจะทำให้เราเห็นภาพรวมที่ชัดเจน และสามารถจัดการไปทีละขั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในอีกมุมหนึ่งก็อาจจะบอกได้ว่าพอแบ่งเป็นสัดส่วนตามนี้แล้วงานดูไม่ยิบย่อยมากจนเกินไป เหมือนกับว่าเราสามารถทำไปตาม step ได้เรื่อยๆ โดยไม่ต้องกังวล เพราะบางทีที่มีลิสต์งานนู้นงานนี้เต็มไปหมด มันอาจจะทำให้เรารู้สึกเครียดและกลัวทำไม่ทัน จนท้ายที่สุดอาจทำให้เกิดภาวะ Burn out ได้นั่นเอง

เพราะงั้นนอกจากทริคนี้จะช่วยให้เราจัดสรรเวลาได้อย่างเป็นสัดส่วนมากขึ้นแล้ว ยังเป็นทริคที่ช่วยให้เราสามารถปรับสมดุลของชีวิตการทำงานได้เป็นอย่างดี ส่งผลให้ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะ Burn out ทั้งยังช่วยให้เรามีสมาธิและทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ที่สำคัญ คือ มีเวลาสำหรับการพักผ่อนที่ชัดเจน ช่วยให้สมองได้พักจากการทำงานและผ่อนคลายจากความเหนื่อยล้าอีกด้วย ! ( ¨̮ )


#3 ตัดสิ่งรบกวน
ลอง Social Detox ปรับสู่โหมดทำงาน

เชื่อว่าตอนนี้คงไม่มีใครไม่ติดมือถือ ไม่ว่าจะเป็นตอนพัก ตอนกินข้าว ตอนทำงานคนเดียว หรือ WFH จะต้องมีหยิบออกมาเล่น แต่ทีนี้พอได้เล่นแล้วมันไม่แปปเนี่ยสิ กลายเป็นว่าเล่นยาวๆ จนไม่ได้ทำงานเลย

วันนี้เลยขอมาแชร์อีกหนึ่งทริค นั่นก็คือ ‘การตัดสิ่งรบกวน’ ในที่นี้รวมถึงการ social detox หรือการงดโซเชียลด้วยนะ ใครที่จะลองปรับให้เราทำงานได้แบบ productive มากขึ้น อาจจะต้องลองลดโซเชียล หยิบมือถือมาเล่นให้น้อยลง หรืออาจจะปิดแจ้งเตือนไปเลยก็ได้ แต่ถ้าใครต้องติดต่องานหรือคุยกับหัวหน้าหรือลูกค้าก็อาจจะเปิดไว้แค่แจ้งเตือนสำคัญๆ เท่านั้นก็ได้เหมือนกัน บอกเลยว่าเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้เราสามารถจดจ่อและมีสมาธิกับงานที่ทำได้เยอะขึ้นมากแบบไม่น่าเชื่อ !

  • เลือกเปิดแค่แจ้งเตือนสำคัญ !
  • ไม่หยิบมือถือมาดูบ่อยๆ ( ˘•̥ _•̥ ˘ )
  • เปิดโหมดทำงานในมือถือ
    หรืออาจจะใช้แอปช่วย อย่างเช่น Forest แอปปลูกต้นไม้ตามชั่วโมงการทำงานของเรา
    ช่วยให้เราโฟกัสได้มากขึ้น ทั้งยังลดอาการติดมือถือได้ด้วย !

#4 เสริมด้วยเทคนิค Pomodoro
ช่วยเพิ่มสมาธิ ลดความเครียด !

หลังแบ่งงานให้เป็นสัดส่วนเรียบร้อยแล้ว ขอเสริมความ Productive ด้วย ‘เทคนิค Pomodoro’ ! วิธีจัดสรรเวลาการทำงาน โดยแบ่งออกเป็นช่วงเวลาสั้นๆ คือ ทำงาน 25 นาที สลับไปกับการพักผ่อน 5 นาที และเมื่อครบ 4 รอบก็จะเป็นช่วงเวลาที่ได้พักแบบ long break 15-30 นาที

การทำงานด้วยทริคนี้เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยเพิ่มสมาธิให้เราสามารถโฟกัสกับงานที่กำลังทำได้อย่างเต็มที่และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ทั้งนี้ยังช่วยให้สมองไม่เหนื่อยล้าจนเกินไปและป้องกันภาวะหมดไฟ เพราะจะมีช่วงเวลาที่เราได้ผ่อนคลายอย่างน้อย 5 นาที และมี long break 15-30 นาที หลังทำงานมาเป็นชั่วโมงอีกด้วย

แชร์ทริค 7 วิธี Productive ชวนเติมไฟให้ตัวเอง ปรับชีวิตให้สมดุล ทำงานให้มีประสิทธิภาพกว่าที่เคย! Zipevent

  • เลือกงานที่ต้องการทำให้เสร็จมา 1 งาน
  • ตั้งนาฬิกาจับเวลา 25 นาที หลังจากนั้นเริ่มทำงานได้ !
    ทำงาน 25 นาที สลับกับพัก 5 นาที
  • ทำแบบนี้จนครบ 4 ครั้ง แล้วพักยาว 15-30 นาที

#5 Don’t forget to take care of yourself !
ไม่ลืมที่จะดูแลตัวเองและหมั่นรักษาหัวใจ

อีกหนึ่งทริคที่จะช่วยส่งเสริมให้เรามีความ productive ได้มากขึ้นนั่นก็คือ ‘การดูแลตัวเอง’ เพราะการดูแลตัวเองให้สุขภาพดีทั้งกายและใจนั้นจะช่วยส่งเสริมให้เราสามารถทำงานและใช้ชีวิตได้อย่างบมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้แล้วยังช่วยให้เราสามารถโฟกัส มีสมาธิ และจัดการความเครียดได้อย่างเหมาะสมอีกด้วย

ในทางกลับกัน ถ้าเราไม่ได้ดูแลตัวเองอย่างเหมาะสม เช่น นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ ดื่มน้ำน้อย ไม่ออกกำลังกาย สิ่งเหล่านี้ก็อาจส่งผลให้ประสิทธิภาพในการทำงานของเราลดลง รวมถึงว่าเราอาจจะรู้สึกมึนงง ไม่ค่อยมีสมาธิ และไม่สามารถโฟกัสงานที่ต้องทำได้เท่าที่ควร

  • นอนให้ครบ 8 ชั่วโมง
    หลังจากที่ร่างกายทำงานหนักมาทั้งวันแล้ว เราควรจะปล่อยให้ร่างกายได้พักผ่อนอย่างเพียงพอและฟื้นฟูตัวเองอย่างเต็มที่ เพราะนอกจากจะช่วยให้ตอนตื่นมาสมองปลอดโปร่งแล้ว ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ลดความเครียด และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันอีกด้วย

  • กินอาหารมีประโยชน์และหมั่นออกกำลังกาย
    นอกจากจะพักผ่อนให้เพียงพอแล้ว อย่าลืมที่จะกินอาหารมีประโยชน์และหมั่นออกกำลังกายด้วย !
    เพราะจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของร่างกายและสมอง ช่วยลดความเหนื่อยล้า ตอดลจนช่วยลดความเสี่ยงของโรคออฟฟิศซินโดรมอีกด้วย

    ถ้าใครที่ต้องนั่งทำงานเป็นเวลานาน อย่าลืมลุกมาเดินหรือขยับร่างกายกันเป็นระยะๆ
    อาจจะลุกมายืดเส้นยืดสายบ้าง เพื่อให้ร่างกายได้ตื่นตัว !
แชร์ทริค 7 วิธี Productive ชวนเติมไฟให้ตัวเอง ปรับชีวิตให้สมดุล ทำงานให้มีประสิทธิภาพกว่าที่เคย! Zipevent

  • ดื่มน้ำเยอะๆ !
    เป็นอีกหนึ่งข้อที่สำคัญมาก เพราะถ้าเราดื่มน้ำน้อย ร่างกายขาดน้ำ จะทำให้สมองล้าและเกิดอาการมึนงงได้นะ

  • การงีบหลับสั้นๆ ระหว่างวัน
    ถ้าใครเกิดอาการปวดหัวหรือรู้สึกมึนๆ อึนๆ เหมือนพักผ่อนไม่เพียงพอ อาจจะลองงีบหลับสั้นๆ ประมาณ 10-20 นาที เพราะจริงๆ แล้วการงีบหลับในระยะเวลาที่พอดีจะช่วยให้สมองสดชื่นและตื่นตัว

    10 นาที เพิ่มความสดชื่น ร่างกายตื่นตัว
    20 นาที เพิ่มพลังงานให้ร่างกาย สมองกระปรี้กระเปร่า


  • อย่าลืม ! แบ่งเวลาให้สิ่งที่ชอบ ( ¨̮ )
    ดูแลสุขภาพร่างกายกันไปแล้ว อย่าลืมแวะมาดูแลหัวใจตัวเองกันด้วยนะ
    อย่าลืมให้ตัวเองได้ใช้เวลาไปกับสิ่งที่ชอบ ทั้งงานอดิเรก อย่างดูหนัง ฟังเพลง หรือการไปคอนเสิร์ต

    ถึงแม้จะดูไม่มีอะไร แต่การได้ปล่อยให้ตัวเองมีเวลาพักผ่อนแบบนี้ก็สามารถช่วยลดความเครียดและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ดีแบบสุดๆ เลยนะ ทั้งยังเป็นการปรับชีวิตให้มีความสมดุล มี work life balance ที่ดี และลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะ burn out อีกด้วย

#6 สร้างบรรยากาศในการทำงานให้ดีกว่าที่เคย

เชื่อว่าทริคนี้จะต้องเป็นหนึ่งในทริคที่หลายๆ คนทำกันอยู่แน่นอน นั่นก็คือ ‘การสร้างบรรยากาศ’ ไม่ว่าจะเป็นการจัดระเบียบมุมทำงาน การปรับอุณหภูมิให้เหมาะสม การฟังเพลง ตลอดจนการเปลี่ยนสถานที่ทำงาน จากบรรยากาศเดิมๆ ไปสู่บรรยากาศใหม่ๆ ที่เคยสัมผัส เพราะเมื่อเรามีบรรยากาศการทำงานที่ดี การทำงานของเราก็จะมีประสิทธิภาพที่ดีตามไปด้วยเหมือนกัน

ทุกคนอาจจะลองนึกภาพตามดูว่าถ้าเราปิดห้องอึมครึม นอนทำงานอยู่บนเตียง มันก็จะกลายเป็นว่าเรารู้สึกเอื่อยๆ ง่วงซึม ไม่ค่อยอยากทำงาน แต่ในทางกลับกันถ้าเราลองลุกมาเปิดผ้าม่านรับแสงธรรมชาติ จัดโต๊ะให้เป็นระเบียบ บรรยากาศรอบตัวน่านั่งทำงาน มันก็ชวนให้เรารู้สึกสดชื่น กะปรี้กะเปร่า และสมองปลอดโปร่งนั่นเอง

  • จัดโต๊ะให้เป็นระเบียบ ปรับอุณหภูมิให้เหมาะสม
    ช่วยให้รู้สึกสบายตา ปลอดโปร่ง ทั้งยังเป็นการเพิ่มสมาธิและความสดชื่นให้กับตัวเองอีกด้วย

  • เปิดเพลงคลอเบาๆ ระหว่างการทำงาน
    อาจเป็นเพลงบรรเลงที่ไม่มีเนื้อร้อง จะช่วยลดความเครียด ทำให้สมองไม่วอกแวะ และช่วยให้โฟกัสได้ดี !

  • ออกไปทำงานข้างนอกในสถานที่ใหม่ๆ
    ถ้าใครนั่งทำงานที่บ้านแล้วรู้สึกเบื่อๆ อึนๆ ลองออกไปนั่งทำงานที่คาเฟ่กันดูสักครั้ง
    บอกเลยว่าวิธีนี้ช่วยให้เรารู้สึกสดชื่นและสมองกะปรี้กะเปร่าแบบสุดๆ ทั้งยังช่วยเติมแรงบันดาลใจให้เล็กๆ อีกด้วยนะ ( ¨̮ )

#7 Take small steps everyday
ทำให้ทุกอย่างกลายเป็น Routine ที่สม่ำเสมอ

ขอปิดท้ายด้วยประโยคที่ว่า ‘Take small steps everyday’ ก้าวไปข้างหน้าทีละนิดในทุกๆ วัน ถึงแม้ว่าจะไม่ใช้ก้าวที่ใหญ่ แต่ก้าวเล็กๆ ที่สม่ำเสมอก็สามารถทำให้เราเดินไปถึงเส้นชัยได้เหมือนกัน ถ้าเราทำให้ทุกอย่างกลายเป็น routine ทำไปทุกวันเรื่อยๆ อย่างสม่ำเสมอ มันจะทำให้ชีวิตของเรามีความ productive ไปโดยปริยายเลย

และนอกจากความ productive แล้ว เรายังจะได้สิ่งอื่นๆ กลับมาอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการบริหารเวลาได้อย่างเหมาะสม สุขภาพร่างกายและจิตใจที่แข็งแรง มี work life balance ตลอดจนการที่เราสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพ ดังนั้น ไม่จำเป็นว่าเราจะต้องก้าวไปข้างหน้าด้วยความเร่งรีบหรือมุ่งหน้าจะทำให้เยอะที่สุดเกินกว่าใคร แต่ขอแค่เราก้าวเล็กๆ อย่างสม่ำเสมอ แค่นั้นก็พอแล้ว เพราะก้าวเล็กๆ ที่เราในทุกๆ วันก็สามารถทำให้ชีวิตมีคุณภาพที่ดีขึ้นได้เหมือนกัน !

แชร์ทริค 7 วิธี Productive ชวนเติมไฟให้ตัวเอง ปรับชีวิตให้สมดุล ทำงานให้มีประสิทธิภาพกว่าที่เคย! Zipevent

หวังว่า 7 วิธี Productive ที่เราแวะมาแชร์ให้วันนี้จะมีประโยชน์กับทุกคนนะคะ ( ¨̮ )


แชร์ 6 ทริค ฝึกพูดภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง
ทำยังไงให้ speaking เก่งขึ้น!

อ่านต่อที่นี่! https://www.zipeventapp.com/blog/2024/09/17/6-tips-to-improve-your-speaking/

แชร์ 6 ทริค ฝึกพูดภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง ทำยังไงให้ speaking เก่งขึ้น! Zipevent

✦ 6 บริการด้านอีเว้นท์ครบวงจร ตอบโจทย์ผู้จัดงาน ✦
เราเข้าใจทุกเรื่องของ อีเว้นท์ ให้เราช่วยคุณ !


สนใจบริการด้านอีเว้นท์ครบวงจร ติดต่อเรา!
E-mail: sales@zipeventapp.com / Call: 020385150 / Inbox FB: Zipevent
Website: https://www.zipeventapp.com/home/organizer


Follow us for more interesting content!
ฝากถึงพี่น้อง แฟนๆ ที่เคารพรักทุกท่าน ฝากติดตามข่าวสารงานอีเว้นท์กับ Zipevent ในช่องทางโซเชียลมีเดียต่างๆ ตามนี้เลย จิ้มๆ

Comments

comments