Trending Now

เรื่อง REPLICAS พลิกชะตา เร็วกว่านรก เป็นภาพยนตร์ประเภท Action/Thriller กำหนดฉายจริงๆ 5 กุมภาพันธ์ 2562 (ตรุษจีน) จัดจำหน่ายโดยโมโนฟิล์ม อำนวยการสร้างเจมส์ กิ๊บส์ (Fury, Drive), เอริค ออว์แซม (Shooter, G.I. Joe Retaliation) ควบคุมงานสร้างลอเรนโซ่ ดี โบนาเวนทูร่า (Transformers, G.I. Joe) สตีเฟ่น อาเมล (Passengers, John Wick) กำกับโดยเจฟฟรีย์ นาชมานอฟ (Traitor) เขียนบทโดยแชด เซนท์ จอห์น (London Has Fallen) แสดงนำคีอานู รีฟส์ (John Wick, The Matrix) อลิซ อีฟ (Star Trek: Into Darkness) และโทมัส มิดเดิลดิชท์ (Silicon Valley)

เรื่องย่อ

หลังจากอุบัติเหตุได้คร่าชีวิตครอบครัวของเขาไป “วิลเลียม” ผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยาจะไม่ยอมหยุดยั้งในการที่จะนำครอบครัวของเขากลับคืนมา แม้จะต้องแหกกฎจากแลปวิทยาศาสตร์ที่ควบคุมโดยรัฐ การไล่ล่าจากตำรวจ หรือแม้กระทั่งฝืนกฎแห่งความตายก็ตาม

เกี่ยวกับงานสร้าง

เรื่องราวเบื้องหลังของภาพยนตร์ Replicas นั้นเกิดขึ้นได้ด้วยการแชร์ไอเดียของ สตีเฟ่น อาเมล (Passengers, John Wick) ร่วมด้วย คีอานู รีฟส์ ทั้งสองคนกระตือรือร้นที่จะบอกเล่าเรื่องราวถึงสิ่งที่ก่อให้เกิดคำถามเชิงศีลธรรมมนุษย์ ในขณะที่ยังคงความเป็นตัวตนประเภทของภาพยนตร์ไซไฟที่แฟนๆ ยังรัก อาเมล อธิบายว่า “เรพลิกาส์ นั้นเกิดจากสิ่งที่ผมสนใจที่ว่า เทคโนโลยีนั้น สามารถเป็นประโยชน์ หรือ เป็นภัยอันตรายต่อมนุษย์โลก อีกทั้งยังเป็นการตั้งคำถามถึงขีดจำกัดของมนุษย์ ไปจนถึงหลักจริยธรรมว่าไปได้ไกลแค่ไหน ถ้าหากว่าเราสามารถถ่ายทอดจิตวิญญาณของคนหนึ่งย้ายไปสู่อีกร่างหนึ่ง”

เป้าหมายคือการสร้างแรงขับให้กับฮีโร่ของเรา (คีอานู รีฟส์) ให้พบเจอกับปัญหาความขัดแย้งระหว่างจิตสำนึกและการตัดสินใจด้วยอารมณ์ ให้ขัดกันอย่างสุดขั้ว ในขณะที่กำลังถ่ายทอดเป็นเรื่องราวอยู่นั้น อาเมล รู้ดีว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ต้องมองหาพาร์ทเนอร์ที่ใหญ่เหมาะสมควบคู่กันไป เมื่อเขาเขียนเรื่องราว เขาเกิดไอเดียในการรวมทีมผู้สร้าง ไม่ว่าจะเป็น โปรดิวเซอร์ชื่อดังอย่าง โลเรนโซ ดิ โบนาเวนทูร่า (Transformers, G.I. Joe) มาช่วยในการพัฒนาโปรเจคและร่วมสร้าง หลังจากที่ได้คนเขียนบทยอดเยี่ยมอย่าง แชด เซนท์ จอน (London Has Fallen)ที่ร่วมแชร์ไอเดียที่คล้ายกัน (เรื่องราวของ วิทยาศาสตร์ ปะทะ ศีลธรรม) และเขาสามารถเขียนบทสมบูรณ์ได้ด้วยเวลาอันรวดเร็ว

      ลอเรนโซ และ นาชมานอฟ กล่าวเพิ่มเติมว่า “ทั้งคีอานูและอาเมลมีประวัติการร่วมงานกันในภาพยนตร์ไซไฟ มาอย่างยาวนาน ย้อนกลับไปตั้งแต่สมัย The Matrix และ Constantine เขามีความเข้าใจอย่างถ่องแท้กับการแสดงภาพยนตร์แนวนี้ แล้วการที่ได้เข้าร่วมงานกับเขามันประมาณค่าไม่ได้ด้วยซ้ำ โดยเฉพาะการที่เขามีส่วนร่วมในเรื่องของการเขียนบท ไปจนถึงการตัดต่อ” ผู้กำกับภาพยนตร์อย่าง เจฟฟรีย์ นาชมานอฟ ได้เข้ามาร่วมงาน และได้เริ่มถ่ายทำในเปอร์โต ริโก้ ในวันที่ 10 กรกฎาคม 2016

“ในฐานะที่ผมเป็นแฟนหนังไซไฟ เรื่องราวมันทำให้ผมสนใจหนังเรื่องนี้” นาชมานอฟ กล่าว “ความคิดที่ว่าการนำเอาไอเดียที่จริงจังให้กลายมาเป็นภาพยนตร์เชิงพาณิชย์ (Commercial) มันน่าสนใจมากสำหรับผม ผมเชื่อว่าเราเข้าใกล้เวลาแห่งโลกอนาคตที่ว่าเราจะสามารถปลดล็อคขีดจำกัดว่าสมองของเราทำงานได้อย่างไร มันจะนำมาซึ่งคำถามของความขัดแย้งระหว่างจริยธรรม ที่ว่าเส้นแบ่งของหุ่นยนต์ และ มนุษย์ จะอยู่ที่ตรงไหน อะไรคือความต่างที่แท้จริงของจิตใจ มันจะมีขีดจำกัดในการยืดอายุชีวิตของมนุษย์ได้หรือไม่ แล้วเราควรที่จะทำอย่างนั้นหรือเปล่า ผมเห็นว่าคำถามเหล่านี้มันกระตุ้นความคิดเราได้ดี แต่เหนือสิ่งอื่นใด สิ่งที่ผมชอบที่สุดของหนังเรื่องนี้คือตัวละคร และเรื่องราว ที่ผมตื่นเต้นที่จะแชร์มันให้ทุกคนได้เห็น” คีอานู รีฟส์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “ช่วงหนึ่งของภาพยนตร์สุดบันเทิงเรื่องนี้ จะมีสิ่งที่ทำให้ทุกคนกล่าวถึง”

นาชมานอฟ กล่าวต่อว่า “บางคนอาจจะบอกว่านี่มันคือเรื่องราวแฟรงเกนสไตน์ ในฉบับโมเดิร์น เพราะมันคือเรื่องราวของผู้ชายคนหนึ่งที่ใช้ทักษะความรู้ของตนเอง เพื่อท้าทายกฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติ” โทนของหนังเรื่องนี้คือโลกที่น่าสนใจ คุณจะได้เห็นสิ่งของต่างๆ ในมุมที่มืด แต่มันก็สามารถมาหักล้างได้ด้วยส่วนประกอบที่เป็นความไฮเทค และความเป็นไซไฟ มันจึงทำให้เกิดความสมดุลกันในภาพ “ฉากส่วนมากของหนังจะถ่ายทำในตอนกลางคืน ซึ่งมันจะมีความโกธิคดำมืดอยู่ในหนัง แต่เราก็ไปถ่ายทำที่เมืองเขตร้อนชื้น ซึ่งมันทำให้มีความเขียวขจี สดชื่น ผมอยากรวมความแตกต่างนี้แล้วถ่ายทอดมันออกมาในโลกภาพยนตร์เพื่อให้เห็นภาพที่แปลก ไม่มีใครเคยเห็น ซึ่งมันจะนำมาซึ่งความสดใหม่ให้กับหนัง” นาชมานอฟ กล่าว

“ผู้กำกับงานด้านภาพของเรา เช็คโก วาเรซี กล้าที่จะทำงานที่เสี่ยงยิ่งขึ้นด้วยการจัดไฟและปล่อยให้ฉากมีความดราม่าสูงมาก โดยเฉพาะในฉากห้องใต้ดินที่วิลเลียม (คีอานู รีฟส์) ได้ทำงานทดลอง” นาชมานอฟ กล่าว ในแง่ของการงานด้านฉาก “ผมต้องการให้โลกของวิลเลียมมีความรู้สึกยุ่งเหยิงและวิกฤติ ดังนั้น จอห์นนี (โปรดักชัน ดีไซเนอร์) และทีมของเขาจะต้องสร้างบรรยากาศและรายละเอียดให้มีความอึมครึมนั้นเกิดขึ้นอยู่ ไอเดียคือการที่มันสามารถสื่อสารถึงอารมณ์ที่ว่ามีการทดลองทางเคมีหรืออะไรบางอย่างที่มีความรู้สึกอันตรายอยู่ในห้องใต้ดินนั้น”

สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งของเรื่องเลยคือการสร้างและดีไซน์เครื่องสร้างหุ่นโคลนที่ถูกสร้างขึ้นโดย ราฟาย เปเรซ หัวหน้าหน่วยสเปเชียลเอฟเฟกซ์ของเรา “ที่เปอร์โต ริโก้ เรามีทีมงานเป็นคนท้องถิ่น และทีมทั้งหมดต่างดีใจเมื่อได้เห็นว่าทุกคนนั้นได้ทุ่มเทให้กับงานอย่างดีมากเพื่อสร้างโลกใบนี้ขึ้นมา “ก่อนที่เราจะเริ่มถ่ายทำ เราจะคิดเสมอว่าเครื่องโคลนนิ่ง (Cloning Pod) นี้มันจะสร้างยากเกินไปไหมหากเราไปทำมันที่เปอร์โต ริโก้ หรือ เราควรที่จะสร้างมันก่อนที่ลอสแองเจลิส แล้วค่อยชิปไป แต่ ราฟาย ทำให้เราทุกคนทึ่งด้วยความสามารถที่เขาสร้างมันขึ้นมาได้ เครื่องทำโคลนนิ่งมีน้ำหนักกว่า 500 ปอนด์ต่อตัวเมื่อเติมน้ำเข้าไป แล้วเรายังต้องให้นักแสดงหญิงของเราเข้าไปในนั้นอีก ซึ่งเราทุกคนห่วงความปลอดภัยของเธอเป็นอันดับแรก และกลายเป็นว่า อลิซ อีฟ สามารถกลั้นหายใจอยู่ในนั้นเป็นเวลานานทีเดียว” นาชมานอฟ กล่าวติดตลก

ด้วยความที่งานถ่ายทำ ยกกองกันไปถ่ายทำกันที่ เปอร์โต ริโก้ ทีมงานจึงเต็มไปด้วยความท้าทายแบบใหม่ๆ พวกเขาเข้าไปถ่ายทำในช่วงที่ไวรัสซิการะบาด แล้วมันส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวของเปอร์โต ริโก้ แต่สปิริตและพลังงานของทีมงานยังคงสูง ทีมได้เรียนรู้อย่างรวดเร็วถึงการสร้างภาพยนตร์อิสระ “มันไม่มีคำว่าถ่ายง่ายหรอก แต่ทีมงานพร้อมรับทุกความท้าทาย ด้วยความสามารถที่ยอดเยี่ยมของการออกแบบฉากอย่าง จอห์นนี บรีดท์ ที่เป็นชาวอัฟริกาใต้ แล้วก็ผู้กำกับภาพอย่าง เช็คโก วาเรส คนเปรู และทีมงานอื่นๆ อีกมากมายที่เป็นคนท้องที่ มันมีความผสมภาษาทั้งอังกฤษและสเปน แต่ท้ายสุดแล้ว เราสามารถสื่อสารกันได้ดีและเข้าใจกันอย่างไม่มีปัญหา

เมื่อนึกถึงวันที่ยากที่สุดในการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Replicas นาชมานอฟ นึกถึงวันที่เป็นฉากแอ็คชั่นใหญ่ ซึ่งเป็นวันที่ฝนตกและถ่ายทำตอนกลางคืน “เราถ่ายทำฉากนี้ที่ริมแม่น้ำ มันเป็นฉากที่ครอบครัวของเขาเสียชีวิต มันเป็นช่วงซัมเมอร์ และเวลาในการถ่ายทำฉากในตอนกลางคืนก็มีน้อยลงเพราะช่วงนี้มันจะสว่างเร็วมาก อีกทั้งเรายังต้องถ่ายทำร่วมฉากกับเด็ก ซึ่งตามกฎเด็กๆ ต้องถ่ายทำให้เสร็จภายในเวลาเที่ยงคืน นอกจากนั้นสถานที่ถ่ายทำมันอยู่ในป่า ฉะนั้นทุกคนต้องฉีดยาไล่แมลง การเดินทางเข้าไปก็ยากเย็นเช่นกันเพราะการจะเข้าไปถึงที่ถ่ายทำได้ก็ยากลำบากแม้ว่าเราจะสร้างถนนพิเศษขึ้นมาเพื่อขนย้ายอุปกรณ์ มันเต็มไปด้วยโคลน เราส่งนักแสดงไปถึงฉากถ่ายทำด้วยรถ ATV แล้วเราก็ยังต้องมีฉากใหญ่ที่ต้องโยนรถตู้ลงไปในแม่น้ำด้วย จากนั้นคีอานูต้องเดินลุยน้ำลงไปเพื่อลากร่างของครอบครัวเขาขึ้นมา ในขณะเดียวกัน ฉากนี้ก็มีฝนเทียม ทีมงานก็ต้องปั๊มน้ำจากแม่น้ำขึ้นมาผ่านสายยางเพื่อส่งไปยังเครนที่สูงกว่า 70 ฟุต ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาไม่รู้ว่าในแม่น้ำนั้นมีเปลือกหอยที่ทำให้ท่อน้ำตัน พวกเขาจึงต้องเสียเวลาอีก 2 ชั่วโมงเพื่อที่จะซ่อมแซมให้ฉากฝนเทียมกลับมาถ่ายทำได้ต่ออีกครั้ง แล้วช่วงเวลาเดียวกันนั้นนักแสดงบางคนก็เริ่มออกอาการป่วยขึ้นมา และมีคนหนึ่งอาเจียนในคืนนั้น ในที่สุดเมื่อแสงจากพระอาทิตย์ขึ้นทุกคนต่างหมดเรี่ยวแรงและต้องการกลับไปพักผ่อน คีอานู รีฟส์ กล่าวถึงความทรหดครั้งนี้ว่า “มันเป็นจุดเริ่มต้นที่หนักหนาสาหัสทั้งจากเนื้อเรื่องเองและความยากที่เราต้องไปถ่ายทำ มันทำให้รู้ว่าตัวละครตัวนี้ต้องผ่านความยากลำบาก ความทรหด และเสียใจมากแค่ไหนเมื่อต้องสูญเสียครอบครัวที่รักไปในคืนนั้น”

ภาพยนตร์เรื่อง Replicas จะเป็นภาพยนตร์ที่เหมาะสำหรับคนดูทุกคน โดยเฉพาะแฟนๆ ของ คีอานู รีฟส์ นี่จะเป็นโอกาสที่จะได้เห็นเขาในบทบาทที่มีความลึกของตัวละคร ที่ไม่ได้มีเพียงแค่บทแอ็คชั่นเท่านั้น แต่ยังเต็มไปด้วยความไซไฟ และ บทดราม่าของเรื่องราวครอบครัว ซึ่งจะเป็นการโชว์ศักยภาพว่า คีอานู นั้นยอดเยี่ยมได้ขนาดไหน อาเมล อธิบายทิ้งท้ายว่า “ภาพยนตร์หลายเรื่องมองเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องน่ากลัว ยกตัวอย่างเช่น สกายเน็ต จาก ภาพยนตร์เรื่อง Terminator แต่กับเรื่องนี้มีมุมมองที่แตกต่างที่ว่า วิทยาศาสตร์ ไม่ใช่สิ่งที่ดี หรือ ไม่ดี แต่หนังทำให้เห็นว่า มันเป็นเรื่องราวสุดคลาสสิกของธรรมชาติมนุษย์ ที่ว่าเมื่อคุณเกิดการตั้งคำถาม คุณจะทำอย่างไรถ้าคุณตกอยู่ในสถานการณ์แบบเขา ถ้ามีโอกาสเพียงเล็กน้อย คุณจะไม่พยายามที่จะปกป้องครอบครัวของคุณบ้างหรอ

การคัดเลือกนักแสดง

เจฟฟรีย์ นาชมานอฟ เป็นผู้กำกับภาพยนตร์ที่มีจุดเด่นทางด้านการขับเคลื่อนตัวละครและการสื่อสารกับคนดู เขามีความสามารถในการดึงความสามารถการแสดงที่สื่อสารทางอารมณ์ได้ดี การได้ร่วมงานกับนักแสดงที่มีคุณภาพและโปรดิวเซอร์ที่ดีคือสิ่งสำคัญสำหรับเขา

“คีอานู มีวินัยในการทำงานดีเยี่ยม ผมเคยได้ยินมาว่าเขาเตรียมพร้อมกับการรับบทอย่างสม่ำเสมอ เขาต้องฟิตร่างกายเพื่อเตรียมรับบทคิวบู๊อย่างหนักจากเรื่อง John Wick แต่ผมกลับทึ่งมากขึ้นไปอีก เมื่อรู้ว่าเขาเตรียมพร้อมอะไรกับหนังของเรา คีอานู รีฟส์ ไปหยิบงานวิจัยของชิ้นงาน ประสาทวิทยา (Neuro Science) มานั่งอ่าน แล้วเขาก็หยิบเอาไอเดียเหล่านั้นมาใช้ปรับในฉากการแสดง แน่นอนว่าปัจจุบันการศึกษาเรื่องสมองของมนุษย์ว่าการทำงานของมันอย่างละเอียดนั้นเป็นอย่างไรไม่มีใครรู้โดยสมบูรณ์  แต่งานวิจัยจำนวนมากเหล่านั้นได้ใกล้เคียงกับการปลดล็อคทุกคำถามเกี่ยวกับจิตวิญญาณ งานวิจัยเหล่านั้นมีประโยชน์ต่อคีอานูมากทีเดียว เขาหยิบเอาความรู้เหล่านั้น มาปรับใช้ให้เข้ากับคาแรกเตอร์ของตัวละคร สุดท้ายผมเชื่ออย่างสนิทใจเลยว่าเขาเป็นนักประสาทวิทยาจริงๆ” นาชมานอฟ กล่าว

สตีเฟ่น อาเมล กล่าวเสริมว่า “ในเรื่อง Replicas มันคือโอกาสสำหรับคีอานูที่จะแสดงในบทบาทของตัวละครที่น่าเชื่อถือกับเรื่องราวที่ยังไม่เคยได้ถูกนำมาสร้างในลักษณะนี้มาก่อน ผมรักหนังที่ตั้งคำถามมากมาย หนังที่ตั้งใจให้ผู้ชมต้องเผชิญหน้ากับคำถามเชิงศีลธรรมและความขัดแย้งทางอารมณ์ แต่ในขณะเดียวกันมันมาพร้อมความบันเทิงอย่างเต็มขั้น Replicas สามารถไปได้ถึงขั้นนั้นเลย”

สำหรับ คีอานู รีฟส์ การแสดงในบทบาทนี้เป็นสิ่งที่แตกต่างจากงานชิ้นก่อนของเขา ตัวละครของเขามีความซับซ้อนและผ่านเรื่องหนักหนาสาหัสมา วิลเลียม แสดงออกถึงสัญชาตญาณของเขาในทันทีเมื่อเกิดเรื่อง “ผมรับบทเป็นสามีที่เสียครอบครัวของเขาไป เราทุกคนเคยสูญเสียใครสักคนมาแล้วทั้งนั้น เราจึงเชื่อมโยงจุดนี้กับตัวละครได้ง่าย แล้วความคิดที่แสนทนทุกข์กับการอยากที่จะนำพวกเขากลับคืนมา นี่คือสิ่งที่เราทุกคนต่างเห็นว่าตัวละครนี้น่าเอาใจช่วย และการได้รับบทตัวละครนี้มันทรงพลังมากทีเดียว” คีอานู รีฟส์ กล่าว

การคัดเลือกนักแสดงคนอื่นๆ ก็ประสบความสำเร็จอย่างดี ผู้คัดเลือกนักแสดงอย่าง ชารอน เบลีย์ ทำงานได้ยอดเยี่ยมในหน้าที่เฟ้นหานักแสดงท้องถิ่นในเปอร์โต ริโก้ “การได้ทำงานกับนักแสดงคนอื่นๆ ก็เป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมเช่นกัน เปอร์โต ริโก้มีนักแสดงที่เก่งเยอะมาก พวกเขาทุ่มเทให้กับการแสดงได้ดีที่สุด” นาชมานอฟ กล่าว

การเพิ่มนักแสดงในด้านที่ทำให้โทนหนังเบาลง ในภาพยนตร์ไซไฟที่ค่อนข้างซีเรียสเป็นทางออกที่ดี และคงไม่มีใครเหมาะสมกับการใส่ความสมดุลนี้ได้ดีไปกว่า โทมัส มิดเดิลดิช “เขาพิสูจน์ตัวเองแล้วว่าเขาเป็นพาร์ทเนอร์ที่ยอดเยี่ยม เขาได้มอบบทบาทที่ยกระดับให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้” คีอานู กล่าว “เขาเป็นนักแสดงที่ปรับตัวได้อย่างยอดเยี่ยม ด้านมุขตลกที่มอบให้กับหนัง ทำให้หนังดูสนุกขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งยังสามารถลดความตรึงเครียดของเรื่องราวได้เป็นอย่างดี และสิ่งที่ทำให้ผมประหลาดใจมากที่สุดคือเมื่อถึงฉากดราม่า เขาก็สามารถทำมันได้อย่างดีเช่นกัน” นาชมานอฟ กล่าว

สำหรับ อลิซ อีฟ สตีเฟ่น อาเมล กล่าวว่า “เราโชคดีมากที่ได้เธอมาร่วมงาน เธอคือนักแสดงที่มีความสามารถ เธอแสดงออกถึงความอบอุ่นและความมีมนุษยธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากในภาพยนตร์เรื่องนี้” นาชมานอฟ กล่าวติดตลกว่า “เธอกลั้นหายใจได้นานจริงๆ แล้วเธอก็ใจกล้ามากๆ ที่ลงไปในเครื่องทำโคลนนิ่งอันนั้น ฉากเด่นอย่างซีน ‘การกำเนิด’ คือหนึ่งในฉากที่ผมชอบที่สุดในหนังเรื่องนี้”

จอห์น ออทิซ คือนักแสดงที่ยอดเยี่ยม เขาผ่านงานชั้นยอดมาแล้วหลายเรื่องในรอบหลายปีที่ผ่านมา “มันยอดเยี่ยมมากที่เราได้ร่วมงานกับเขา และปล่อยให้เขาได้แสดงความเป็นผู้ร้ายได้อย่างเต็มที่ เขาเป็นที่รักของผู้คนที่นี่ ก่อนเราจะได้กินข้าวในทุกมื้อต้องมีคนตะโกนขอลายเซ็นต์เขาอย่างน้อยสักหนึ่งคน” นาชมานอฟ กล่าว

เกี่ยวกับสถานที่ถ่ายทำ

“เมื่อตอนที่เรามาถึงเปอร์โต ริโก้เพื่อถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ เกาะแห่งนี้ได้รับผลกระทบจากเชื้อไวรัสซิกาซึ่งทำให้การท่องเที่ยวล้มครืนลง เศรษฐกิจที่เป็นแหล่งรายได้หลักของที่นี่อยู่ในวิกฤติ แต่ทว่าจิตใจที่เข้มแข็งและพลังงานของคนท้องถิ่นที่นี่ยังเข้มแข็ง” เจฟฟรีย์ นาชมานอฟ กล่าว

แม้ว่าการถ่ายทำจะมีความยาก แต่ความสวยงามของเปอร์โต ริโก้ ยังเปล่งประกาย แล้วกลายเป็นว่าที่นี่เป็นเหมาะสมกับฉากการถ่ายทำที่มีความเป็น “คาริบเบียน” มากที่สุด มันมีสีสันสวยงาม ความโดดเด่นของสีเขียวทำให้ได้ภาพแห่งความเขียวชะอุ่มชุ่มชื่น ในขณะเดียวกันหนังเรื่องนี้ก็ต้องการทำให้คนดูได้เห็นถึงความรู้สึกที่แปลกแตกต่างให้เหมือนหลุดออกมาในอีกโลกหนึ่ง ผู้ออกแบบงานสร้างอย่าง จอห์นนี บรีดท์ กล่าวไว้

นาชมานอฟ กล่าวเพิ่มเติมว่า “ผมรู้สึกว่าถ้าหากเราต้องการให้ผู้ชมเหมือนได้เข้าไปอยู่ในโลกไซไฟของภาพยนตร์เรื่องนี้ มันจำเป็นที่จะต้องสร้างบรรยากาศ ภาพที่ตราตรึงในการสร้าง BIODYNE (ไบโอไดน์) ห้องแลปของเรื่อง นั่นหมายถึงการสร้างและออกแบบฉากให้ยิ่งใหญ่ได้ตามมาตรฐานของภาพยนตร์ฮอลลีวูด แม้ว่าที่เปอร์โต ริโก้ จะไม่มีฉากหรือสตูดิโอที่ใหญ่ขนาดนั้นก็ตามที

หลังจากที่ค้นหาสถานที่อย่างยาวนาน ทีมสร้างตัดสินใจที่ถ่ายทำในตึกออฟฟิศร้างแห่งหนึ่ง ซึ่งที่แห่งนี้เต็มไปด้วยความยุ่งยาก เมื่อพวกเขาพบว่าหลังคารั่วและน้ำซึมลงมา พวกเขาก็ต้องไปจ้างช่างให้มาซ่อมแซมในขณะที่กล้องยังคงถ่ายทำไปด้วย

พวกเขาใช้เวลา 6 สัปดาห์เต็มเพื่อเตรียมพร้อมสถานที่ก่อนถ่ายทำแต่มันก็ยังไม่พอด้วยซ้ำในการสร้างแลปขึ้นมา ซึ่งหมายความว่าฝ่ายศิลป์ต้องทำงานตลอด 24 ชั่วโมงเพื่อให้ฉากสำเร็จ และยิ่งไปกว่านั้น ฉากในแลปทั้งหมด ต้องถ่ายทำในคิวท้ายๆ สุดอีกด้วย “สีที่ทายังไม่แห้งเลยด้วยซ้ำ ตอนที่เราเริ่มถ่ายทำ” นาชมานอฟ กล่าว

“เราต้องปรับตัวให้เข้ากับปัญหาที่จะตามมาในการถ่ายทำให้ได้ รวมไปถึงปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ใหม่ๆ ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็น แมลงที่อยู่ในป่า กบที่เปล่งเสียงร้องดังระงมจนสร้างปัญหาให้กับฉากที่มีการพูดคุย มีอยู่เหตุการณ์หนึ่งเมื่อเกิดเหตุขัดข้องจากโรงงานผลิตไฟฟ้าทำให้ไฟดับอยู่ 2 วัน ทั่วทั้งเปอร์โตริโก้ โรงแรมให้ผู้คนออกจากที่พัก อินเตอร์เน็ตใช้งานไม่ได้ แต่เราก็ยังคงเดินหน้าถ่ายทำต่อไปโดยใช้เครื่องปั่นไฟ แล้วหลังจากถ่ายทำเสร็จเมื่อทีมงานต้องกลับบ้าน พวกเขาก็ต้องกลับไปจุดเทียนไขที่บ้าน ปราศจากไฟฟ้า ปราศจากเครื่องปรับอากาศ ท่ามกลางป่าเมืองร้อนนี้  มันคือความประทับใจต่อทีมงานทุกคนที่พวกเขาทุ่มเทให้กับงานขนาดนี้”

ถึงแม้ว่าจะเกิดปัญหาและความท้าทายมากมายในขั้นตอนของการเตรียมก่อนการถ่ายทำ และในช่วงที่ถ่ายทำก็ตาม แต่มันก็คุ้มค่าและผ่านไปได้ด้วยดี ผลงานการออกแบบของฉาก และ บรรยากาศทั้งหมด เป็นไปตามที่นาชมานอฟ ต้องการ หนังมีสไตล์ของตัวเอง “ผมคิดว่า เจฟฟรีย์ และ เช็คโก้ สร้างสิ่งมหัศจรรย์ให้กับผู้คน มันมีความแปลกแตกต่าง พวกเขาใช้เทคนิคสไตล์ของมุมกล้องแบบกราฟฟิกโนเวล มาใช้กับภาพยนตร์ไซไฟ พวกเขาใช้สีโทนแปลกตา เพื่อที่ออกมาในสไตล์ของพวกเขา มันดูแปลกกว่าเรื่องก่อนๆ ที่ผมเคยทำ” คีอานู รีฟส์ กล่าว

เกี่ยวกับการสร้างหุ่นยนต์

โอกาสในการสร้างสิ่งยอดเยี่ยมคือการสร้างหุ่นยนต์โดยใช้คอมพิวเตอร์กราฟฟิกแบบเต็มรูปแบบขึ้นมาโดยได้ไอเดียร่วมมือกันระหว่าง ทีม VFX และ เจฟฟรีย์ นาชมานอฟ หุ่นยนต์ตัวนี้เป็นจุดสำคัญของภาพยนตร์เรื่องนี้ ดังนั้นมันจำเป็นต้องให้ดูโดดเด่นและแตกต่างจากเรื่องอื่นๆ “เราทุกคนเคยเห็นหุ่นยนต์จากหนังเรื่องอื่นมามากมาย มันจึงไม่ง่ายเลยที่จะสร้างอะไรขึ้นมาใหม่ ผมได้แรงบันดาลใจจากหุ่นในเรื่อง Ex Machina ที่สร้างหุ่นให้เชื่อมต่อกับนักแสดง และแทนที่เราจะลอกงานของเขามา เราหันมาใช้ คอมพิวเตอร์กราฟฟิกแบบเต็มรูปแบบ ซึ่งมันต้องผ่านกระบวนการวาดและใช้ศิลปินหลายคนเลยทีเดียว” นาชมานอฟกล่าว การออกแบบและพัฒนาเริ่มมาจาก เทรเวอร์ ฮาร์ดเดอร์ (Underworld, Ghost Rider) ชิ้นงานดีไซน์ของเขาทำให้หุ่นยนต์มีชีวิตขึ้นมาจริงๆ

ภาพยนตร์เรื่องนี้ตั้งใจให้เป็นภาพยนตร์ที่บันเทิง สนุก มันไม่ใช่เรื่องที่ไกลตัวหรือเป็นเรื่องจินตนาการเกินไปเลยแม้แต่น้อย วิทยาศาสตร์ด้านประสาทกำลังถูกศึกษาและเติบโตอย่างรวดเร็ว วันใดวันหนึ่งในอนาคตอันใกล้ การถ่ายทอดสมองอาจจะไม่ได้เป็นเพียงแค่วิชาหนึ่งของวิทยาศาสตร์อีกต่อไป

ฝากติดตามข่าวสารงานอีเว้นท์กับ Zipevent ในช่องทางโซเชียลมีเดียต่างๆ ตามนี้เลย

Line: @Zipevent (อย่าลืมเติม @ ข้างหน้าด้วยนะคะ)

หรือจิ้มไปที่ลิงก์นี้ได้เลย @Zipevent

Instagram: @Zipevent

Website: www.zipeventapp.com

Twitter: @Zipevent

Facebook: @Zipevent

Comments

comments