Trending Now

มายา (เจนนิเฟอร์ โลเปซ) เป็นผู้หญิงที่เก่ง ฉลาด และมีประสบการณ์ในงานมายาวนาน แต่การที่เธอขาดการศึกษาในสถาบันที่สูงทำให้เธอต้องถูกปฏิเสธจากบริษัทยักษ์ใหญ่มาหลายครั้ง แต่ครั้งนี้จะเปลี่ยนไป เมื่อเพื่อนๆ ของเธอจัดการสร้างเรซูเม่ใหม่ของเธอขึ้นมาให้จี๊ดจ๊าดยิ่งกว่าเดิม แม้เธอจะเข้ามาทำงานด้วยคำโกหกแต่เธอกำลังจะพิสูจน์ตัวเองให้ทุกคนรู้ว่าเธอเองก็มีดีไม่แพ้ใคร SECOND ACT

ในขณะที่ มายา เวกัส (เจนนิเฟอร์ โลเปซ) กำลังที่จะจัดงานเลี้ยงวันเกิดในวัย 43 ปีของเธออยู่นั้น เธอปรารถนาเพียงสิ่งเดียว นั่นคือการได้เลื่อนตำแหน่งกับการทำงานมากว่า 15 ปี ที่ แวลูช็อป และ ใน 6 ปีหลังกับตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการ วันนี้เธอพร้อมแล้วกับการขยับขยายเพื่อที่จะได้เป็นผู้จัดการของร้านขายของที่ยิ่งใหญ่แห่งย่านควีนส์ แม้ว่าประวัติการศึกษาที่ไม่ได้สู้ดีนัก แต่เธอมีประสบการณ์การทำงานที่โชกโชน เธอเป็นนักบุกเบิกที่รับฟังลูกค้า เธอรู้ว่าลูกค้าต้องการอะไร และหาหนทางเพื่อที่จะเอาใจลูกค้า

แต่แล้ว แวลูช็อป ก็เลือก “คนที่เหมาะกับงาน” ผู้ชายที่จบ MBA ที่ไม่ใช่แค่อนุปริญญาอย่างมายา แม้ว่าแฟนหนุ่มของมายา อย่าง เทรย์ (ไมโล เวนทิมิเกลีย) และเพื่อนสนิทของเธอ โจแอน (เลอา เรมินี) พยายามที่จะปลอบใจช่วยเธอ แต่มายาก็ตัดพ้อ ซึ่งมันเป็นอีกครั้งหนึ่งที่เธอเห็นว่าประสบการณ์ไม่สามารถเอาชนะคนที่มีการศึกษาได้ อนาคตทั้งชีวิตของเธอถูกกำหนดไว้ด้วยชีวิตและการตัดสินใจของเธอเมื่อตอนอายุ 16 ปีเท่านั้น หรือจริงๆ แล้วเธอสามารถกำหนดชะตาชีวิตในวัย 40 ของตนเองได้ คำถามนี้จึงเป็นคำถามปลายเปิดในภาพยนตร์เรื่อง Second Act ภาพยนตร์ โรแมนติก/คอมเมดี้ ของผู้กำกับ ปีเตอร์ ซีกัล (50 First Date, Get Smart) หนึ่งในผู้กำกับภาพยนตร์ตลกที่ดีที่สุดแห่งยุคนี้

แต่แล้วชะตากรรมของเธอก็กำลังจะเปลี่ยนไป เมื่อทันใดนั้น เธอได้รับการติดต่อให้ไปสัมภาษณ์งานกับบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง แฟรงคลินน แอนด์ คลาร์ค ผู้บริหารอย่าง แอนเดอร์สัน คลาร์ค (เทรนท์ วิลเลียมส์) มาสัมภาษณ์ด้วยตัวเอง โดยให้ลูกสาวสุดที่รักของเขาอย่าง โซอี้ (วาเนสซ่า ฮัดเกนส์) ที่กำลังฉายแววเจิดจ้าในฐานะคนทำงานให้มานั่งฟังสัมภาษณ์ด้วย

ในขณะที่ โซอี้ สงสัยเกี่ยวกับตัวของมายา แต่แอนเดอร์สัน กลับ ตื่นตะลึงกับเรซูเม่ของมายา ที่ไม่เพียงแต่จบปริญญาจาก มหาวิทยาลัย วาร์ตัน, ร่วมงานกลุ่มอนุรักษ์โลก, เชี่ยวชาญภาษาจีน หารู้ไม่ว่านี่เป็นเพียงตัวตนใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นมาต้องขอบคุณประสบการณ์กว่า 10 ปีของการทำงานที่ แวลูช็อป และการถูกทรยศจากร้าน ที่ทำให้เธอได้มีโอกาสได้งานใหม่ แม้ว่ามันจะไม่ได้เป็นการได้งานมาด้วยความถูกต้องเท่าไหร่นัก แต่เธอมั่นใจว่าเธอสามารถทำงานนี้ได้ วันแรกแห่งการไปทำงานที่นี่คือการที่เธอต้องเข้าไปอยู่ในทีมของโซอี้ ซึ่งมีการแบ่งทีมกันเพื่อแข่งขันว่าใครจะสามารถพัฒนาสินค้าได้ดีกว่ากัน

ภาพยนตร์เรี่อง Second Act เป็นผลงานการกำกับของ ปีเตอร์ ซีกัล ผ่านการเขียนบทของ จัสติน แซคแคม (The Bucket List) และ โปรดิวเซอร์ที่รับหน้าที่เขียนบทด้วยอย่าง อีเลน โกลสมิธ โทมัส (Maid in Manhattan, Mona Lisa Smile)

เกี่ยวกับงานสร้าง SECOND ACT

มายา วาร์กัส นั่งรถบัสมาที่ โอโซนปาร์ค ป้ายรถของ แวลูช็อป ในย่านควีนส์มากว่า 15 ปี ในแต่ละวัน เธอจะสวมผ้ากันเปื้อน และติดป้ายชื่อ และดูแลจัดการธุรกิจของร้านขายของด้วยความเป็นมิตร เธอรู้ตัวเองว่าเธอมีดีพอที่จะเป็นผู้จัดการของร้านนี้ ติดปัญหาคือการหว่านล้อมให้ผู้บริหารมองเห็นว่าเธอมีความสามารถมากพอ

แต่มายา ยังคงต่อสู้กับการกระทำของเธอเมื่อเธอยังเป็นวัยรุ่น เธออยู่กับความเสียใจมาจนถึงทุกวันนี้ และมันเป็นการตัดสินใจที่รั้งตัวเธอเองไว้ ผู้คนรอบข้างบอกว่าเธอทุกข์ทนกับเหตุการณ์นั้นมานานมากพอแล้ว แต่เธอก็ไม่เคยเอ่ยปากบอกความจริงกับแฟนหนุ่มของเธอสักครั้งเดียว

        Second Act ถูกเขียนโดยนักเขียนผู้ช่ำชองอย่าง จัสติน แซคแคม (The Bucket List) และ อีเลน โกลด์สมิธ โทมัส จุดเริ่มต้นของไอเดียเกิดขึ้นโดยทั้งสองเมื่อ 6 ปีก่อน อีเลนบอกว่า “ฉันมีไอเดียเรื่องของการเริ่มต้นใหม่ ทำไมผู้คนไม่น้อยเลยจมอยู่กับชีวิตที่พวกเขาไม่ชอบ และฝันถึงชีวิตที่อยากเป็น เพียงเพื่อจะเรียนรู้ว่าจริงๆ แล้วพวกเขาสามารถเป็นในสิ่งนั้นได้นะ ดังนั้นฉันจึงเขียนเรื่องราวของมันออกมา และก็หาคนที่สามารถช่วยฉันเรี่องการเขียนบทได้ด้วย ฉันชอบงานเก่าของจัสติน เราก็ได้นัดคุยกัน แล้วปรากฏว่ามันทำให้เราไปด้วยกันได้ดีมาก”

แซคแคม จำได้ถึงวันแรกที่ได้ร่วมงานกับ อีเลน “เราปั้นเรื่องราวเกี่ยวกับผู้หญิงที่รู้สึกว่าตัวเองไม่เคยได้รับความยุติธรรมเลย แต่แล้วเธอก็ได้รับโอกาสสุดพิเศษ แม้มันจะไม่ใช่ความซื่อสัตย์ซักเท่าไรก็ตามที แต่มันก็กลายมาเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในชีวิตเธอ และเธอก็ได้รู้ความหมายของชีวิต เมื่อทุกอย่างเป็นเหมือนกับความฝันที่เธอวาดเอาไว้

อีเลน และ จัสติน เอาร่างไอเดียนี้เข้าไปคุยกับค่ายภาพยนตร์อย่าง STX Films และได้เริ่มเขียนบทอย่างจริงๆ จังๆ การเขียนดราฟท์ผ่านไป 2 ร่าง เราก็ได้เจนนิเฟอร์ มาร่วมแสดง ตามมาด้วยผู้กำกับอย่างปีเตอร์ ซีกัล ทั้งสามร่วมกันยกระดับงานเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ไปอีกขั้น และขยายสเกลงานให้ยิ่งใหญ่ รวมไปถึงสถานที่ถ่ายทำที่มากมาย

อีเลน กล่าวถึงการมาเพิ่มเติมของ ปีเตอร์ “ปีเตอร์เขาเหมือนกับคนที่เข้ามาทำให้บทหนังมีสีสีน เขาหยิบมุกเข้ามาใส่ หยิบอารมณ์ ความรู้สึกใส่เข้าไปในบทและตัวละคร” เธอบอกว่า “ฉันมีความสุขในทุกวินาทีที่ได้ร่วมงานกับปีเตอร์

แซคแคม ตื่นเต้นและกล่าวว่า “ถ้าคุณคือผู้ชายในยุคผม ภาพยนตร์เรื่อง Tommy Boy คือหนังที่ผมต้องศึกษา ภาพยนตร์ที่เป็นดั่งไอค่อนของหนังยุค 1995 เราเข้าขากันได้ดีตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน และนี่เป็นภาพยนตร์เรื่องที่ 10 ที่เขาได้สร้างในทีมงานระดับสตูดิโอ ดังนั้นเขาคือมืออาชีพของภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างแท้จริง

บทภาพยนตร์ของ Second Act คือสิ่งที่ไปจี้จุดอ่อนของผู้กำกับ “นี่คือประเภทของภาพยนตร์ที่ผมรัก มันทำให้ผมนึกถึงภาพยนตร์อย่าง Working Girl, Tootsie ที่ล้วนเป็นหนังที่เกี่ยวกับโอกาสครั้งที่สอง ที่เป็นเรื่องรางของตัวละครหลักที่มีโอกาสเปลี่ยนแปลงชีวิตไปเป็นอีกคน และผลของการกระทำแน่นอนว่าพวกเธอต้องได้รับผลกับการกระทำในขณะที่ความสำเร็จก็อยู่แค่ตรงหน้า ผู้คนรู้ว่าเธอกำลังขับรถพุ่งตรงสู่หน้าผา แต่พวกเขากลับชอบมันอย่างน่าเหลือเชื่อ

เขายังตอบรับกับเรื่องราวของอารมณ์อีกด้วย “มายาเป็นผู้หญิงทั่วไป เราทุกคนล้วนมีความฝัน และบ่อยครั้งที่เราทำมันไม่สำเร็จ มายาเป็นผู้หญิงประเภทที่คำไหนคำนั้น เพราะ สิ่งที่เกิดขึ้นมาในอดีต มีหลายเรื่องที่ทำให้เธอต้องเสียใจ และอีกหลากหลายทางที่เธอเลือก มันคงจะดีกว่านี้ถ้าเธอพยายามบากบั่นฝ่าฟันมันไปอีกนิด แต่ทว่าสิ่งที่เธอทำ กลับกลายเป็นผลลัพธ์ที่เธอไม่ได้คาดฝัน และก็กลายเป็นว่าเธอยังกลับไปนั่งโทษการตัดสินใจที่ผิดพลาดในอดีต ผมเชื่อว่าทุกคนคงเข้าใจมันได้เป็นอย่างดี”

อีเลน โกลด์สมิธ โทมัส เห็นภาพ เจนนิเฟอร์ โลเปซ ใน บทบาท มายา วาร์กัส มาตลอด เพราะเธอนั้นเคยผ่านผลงานร่วมกันใน Maid in Manhattan ซึ่งทั้งสองสนิทและเข้าใจกันดีถึงบทบาทและตัวละครหลักของเรื่อง ว่าความคิดของตัวละครเป็นอย่างไร

เจนนิเฟอร์ โลเปซ เองก็มีความคิดในเรื่องการคัดเลือกนักแสดงอยู่ในใจเธอเช่นกัน  เมื่อตอนที่เธออ่านบท Second Act ครั้งแรก เธอเห็นบทของเทรย์ ผู้ชายที่มีความเชื่อมั่น เป็นโค้ชนักเบสบอล และ เขารักมายา “ฉันเห็นแต่ภาพของ ไมโล เวนติมิเกลีย สำหรับบท เทรย์” เจโล กล่าว “หน้าของเขาผุดขึ้นมาในหัว ตอนนั้นเขางานยุ่งมากเพราะซีรีส์ก็กำลังโด่งดัง เขาน่าจะอยู่ในช่วงพีคในอาชีพนักแสดงของเขา แต่เขาก็ตกลงที่จะอ่านบทหนังเรื่องนี้ แล้วเราทั้งสองก็รู้ว่านี่เป็นสิ่งที่เราอยากทำ”

“นักแสดงอย่าง ไมโล มีหัวใจและอารมณ์ที่ค่อนข้างเปิดกว้าง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม ความสุขคือการได้ทำงานร่วมกับเขา” โลเปซ กล่าว “คุณไม่จำเป็นที่จะต้องปิดบังความรู้สึก คุณสามารถปลดปล่อยความรู้สึกของคุณได้เต็มที่เลย”

นักแสดงผู้ได้เสนอชื่อเข้าชิงราวัล เอมมี่ ในปี 2017 และ 2018 ในบทบาท แจ็ค เพียร์สัน จากซีรีส์อย่าง This is Us ไมโล เวนทิมิเกลีย กำลังมีคิวถ่ายทำที่ลอส แองเจลีส และมันเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ Second Act กำลังจะเปิดกล้องที่นิวยอร์ค ทำให้การจัดคิวนักแสดงไม่ง่ายนัก แต่สุดท้ายก็สามารถจัดการได้ในที่สุด

“เคมีระหว่างทั้ง ไมโล และ เจนนิเฟอร์ ดีมากและมันมาทันที” ปีเตอร์ ซีกัล กล่าว  ไมโล ก็รู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน “มันรู้สึกดีที่ได้แสดงร่วมกับเจนนิเฟอร์เพราะผมรู้สึกถึงความจริงใจ” ไมโลกล่าว “มันรู้สึกจริงมาก สำหรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตเธอ เธอมีความสุขกับสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของเธอตอนนี้”

เจนนิเฟอร์ โลเปซ รู้แน่ชัดว่าใครจะแสดงบทเพื่อนรักของเธอในบท โจแอน นั่นก็คือเพื่อนสนิทในชีวิตเธอจริงๆ อย่าง เลอา เรมินิ นักแสดงผู้คว้ารางวัล เอมมี่ ในปี 2017 มาได้ จากเรื่อง Leah Remini: Scientology and the Aftermath

แล้วทุกอย่างมันก็ได้ผลกับ ซีกัล “มันเป็นการคัดเลือกที่เป็นธรรมชาติมากๆ เพราะในชีวิตจริง สองคนนี้ก็เป็นคู่ที่เรารู้จักกันอยู่แล้ว” ปีเตอร์กล่าว “ทั้งคู่ตลกมาก เลอานี่ใส่มุกไม่ยั้ง เล่นจริงเจ็บจริง เธอต่อยเจโล ทั้งผลัก ทั้งดึง ใส่ไม่ยั้ง เธอทำให้เราเห็นว่าเธอไม่ได้ทำการแสดงอยู่ แล้วเราก็ลืมไปว่าเรากำลังดูหนัง”

“เราอยากที่จะทำงานร่วมกัน และนี่เหมือนเป็นพรจากพระเจ้า” เจนนิเฟอร์กล่าว “เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมาก เราเคยผ่านช่วงเวลาที่เลวร้ายมาด้วยกัน ยิ่งเราเจอมรสุมมากแค่ไหน มันก็ยิ่งทำให้เราสนิทกันมากขึ้น ไม่ว่าเราจะหัวเราะ หรือทำในสิ่งที่งี่เง่าอย่างที่เราชอบทำกัน หรือ บางเรื่องที่ทำให้เราเสียใจ ไม่ว่าอย่างไรก็ตามมันคือความสมบูรณ์แบบ”

สำหรับ เรมินิ “มันเป็นการแสดงที่เป็นธรรมชาติมากในการเข้าฉากกับเจนนิเฟอร์ ที่เราได้ทำในสิ่งที่เราก็ทำกันเป็นประจำอยู่แล้ว” “ภาพยนตร์แสดงให้เห็นถึงความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในฐานะผู้หญิงไม่ว่าเรื่องราวจะหนักหนาแค่ไหนก็ตาม” เลอา กล่าว “บทของมายา มีความเติบโตที่มากกว่าเพื่อนคนอื่นอยู่แล้ว บทของฉันอย่าง โจแอน โฟกัสไปที่เรื่องราวของการเป็นแม่ที่ดีของลูก แต่กับมายา เธอต้องการที่จะได้รับโอกาสที่เธอสมควรได้ เธอเชื่อว่าในบรรดาเพื่อนทั้งหมด มายา เป็นคนเดียวที่ก้าวไปได้ไกลกว่าทุกคน แต่เมื่อมายา เริ่มหมดหวังและหมดกำลังใจ เธอจึงเป็นคนเดียวที่จะผลักดันให้เพื่อนของเธอลุกขึ้นสู้”

แต่ก็ไม่ใช่ว่าผู้หญิงทุกคนจะมาช่วยผู้หญิงด้วยกันเองเสมอไป

       ฮิลดี้ นักพัฒนาสินค้าที่ถูกได้รับคำสั่งว่าให้ไปทำงานกับมายา มองว่ามายาคือศัตรู “พวกเขาควรที่จะทำงานร่วมกันเพื่อพัฒนาสินค้าออกมาด้วยกัน แต่ฮิลดี้อยากที่จะเด่นกว่าใคร และพร้อมทำทุกสิ่งเพื่อที่จะก้าวขึ้นเหนือคนอื่น ไม่ว่าจะต้องเหยียบย่ำใครก็ตาม” แอชฟอร์ด นักแสดงที่รับบทฮิลดี้กล่าว “เธอเป็นคนแรกที่เห็นว่ามายาโกหก และมันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่นอน”

โซอี้ ลูกสาวของผู้บริหาร ก็ตั้งกำแพงรับมือกับมายา ไว้เช่นกัน “โซอี้ไม่ได้ชอบมายา เมื่อมายาก้าวเท้ามาทำงานที่แฟรงคลิน แอนด์ คลาร์ค เป็นครั้งแรก เธอพูดว่า “มายาก็คือผู้หญิงที่เพิ่มเข้ามา ผู้หญิงที่เพิ่มเข้ามาก็คือศัตรู”

แต่เรื่องการเป็นผู้หญิงก็ทำให้โซอี้เปลี่ยนความคิดอย่างรวดเร็วได้เช่นกัน “การได้เห็นผู้หญิงสู้อยู่ท่ามกลางโลกของผู้ชายเป็นสิ่งที่เธอเทิดทูน” วาเนสซ่ากล่าว “โซอี้นับถือมายาเพราะสิ่งนี้ ทั้งสองได้ผูกพันกันอย่างคาดไม่ถึง”

การได้แสดงร่วมกับเจนนิเฟอร์คือสิ่งที่ดีที่เกิดขึ้นกับวาเนซซ่า

“เมื่อครั้งที่ฉันมาพบกับเจนนิเฟอร์ฉันประหม่ามาก ฉันถึงกับต้องนอนลงกับพื้นเพื่อสงบสติอารมณ์ แต่เมื่อฉันได้เข้าไปในห้องที่มีเธออยู่จริงๆ และได้ทำงานร่วมกันแล้ว ความรู้สึกกังวลหายไปหมดเลย” วาเนซซ่ากล่าว “เธอคือทุกสิ่งที่ฉันอยากเป็น แต่จริงๆ แล้วมันมากกว่านั้น เธอคือบุคคลต้นแบบสำหรับฉัน”

ในเมืองนิวยอร์คมีทุกสิ่ง

มายา วาร์กัส เกิด และ เติบโต ในย่านควีนส์ นั่นจึงเป็นสิ่งที่ทำให้เธอตั้งคำถามว่า “โลกมีเพียงเท่านี้เองหรือ” นั่นคือสิ่งที่หนังเปิดเรื่องขึ้นมา “มายาผิดหวังกับสิ่งรอบข้าง แต่เมื่อเธอได้ข้ามสะพานเท่านั้นแหละ” อีเลนกล่าว “เมื่อเธอได้ข้ามสะพานเธอได้กลายเป็นสาวจากแมนฮัตตัน”

การที่มายาก้าวข้ามจากควีนส์มาสู่แมนฮัตตัน เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนกับชีวิตจริงของ เจนนิเฟอร์ โลเปซ เพราะเธอก็อยู่ในย่านบรองซ์ (Bronx) มาจนถึงอายุ 25 ปี “ฉันจำได้ว่าตอนที่ฉันเป็นนักเต้น ฉันต้องนั่งรถไฟเข้ามาในเมืองและมันทำให้ฉันรู้สึกฮึกเหิมเมื่อก้าวเท้าออกจาก บรองซ์ มันเป็นเหมือนกับว่าฉันก้าวไปยังอีกโลกหนึ่งเลย มันเปลี่ยนตัวคุณ มันเหมือนกับเมื่อฉันก้าวมาที่นี่ได้ ฉันสามารถที่จะไปไหนได้ทุกที่”

ภาพยนตร์เรื่อง Second Act ถ่ายทำที่นิวยอร์คทั้งเรื่อง เริ่มต้นในเดือนตุลาคม ปี 2017 และปิดกล้องในเดือน ธันวาคม 2017 การถ่ายทำชีวิตของมายาเป็นเหมือนความฝันที่เป็นจริงของปีเตอร์ ซีกัล “มันอยู่ในลิสท์ความฝันที่ผมอยากทำ” เราถ่ายทำทุกที่ตั้งแต่ เซ็นทรัลปาร์ค ไปถึง เฮเดน แพลริแทเรียม ที่ๆ ผมโตขึ้นในฝั่งอัพเปอร์เวสไซด์ ไปจนถึงสถานีแกรนด์เซนทรัล ยาวถึงกลางเมืองของเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์, สะพานบรู๊คลิน และ ย่านควีนส์ ที่พ่อของผมโตขึ้นที่นั่น”

สถานที่ทำงานแรกของมายาคือร้านจำลองที่ชื่อว่า “แวลูช็อป” ซึ่งพวกเขาไปใช้สถานที่ ฟู้ดบาซาร์ ในย่านควีนส์ ซึ่งมันเปิด 24 ชั่วโมง ไม่มีเวลาปิด และพวกเขาก็ไม่ปิดร้านสำหรับการถ่ายทำด้วย “มีคนเดินไปมาเยอะแยะมาก แต่มันกลายเป็นเรื่องที่ดี” โลเปซกล่าว

การถ่ายทำต้องพบเจอกับสถานที่สาธารณะทั่วไป “สถานที่ถ่ายทำหลายฉากคือสถานที่สาธารณะ” ซีกัลกล่าว “เราคงไม่สามารถไปปิด ไฮไลน์ หรือ แม้กระทั่งเซ็นทรัลปาร์คได้ ในขณะที่เราตั้งกล้องเตรียมถ่ายทำ นักท่องเที่ยวกว่า 400,000 ชีวิต ต้องการที่จะถ่ายภาพร่วมกับนักแสดงอย่างเจนนิเฟอร์ โลเปซ เราจึงต้องทำให้ดีที่สุดเพื่อผ่านซีนนั้นๆ ไปอย่างรวดเร็ว”

แต่การถ่ายทำครั้งนี้เป็นประสบการณ์ครั้งใหม่สำหรับวาเนซซ่า ฮัดเกนส์ ที่ไม่ใช่ชาวนิวยอร์ค “ปาปารัซซี่มีอยู่เต็มไปหมดเลย มันบ้ามาก ฉันไม่ได้โกหก” เธอกล่าว “ฉันจำได้ว่ามีซีนนึงที่ฉันต้องถ่ายใต้สะพาน เป็นฉากที่สวยงามมาก ฉันกำลังมีโมเมนต์ที่ดีกับเจนนิเฟอร์ แต่แล้วเมื่อฉันมองขึ้นไปบนสะพาน ฉันเห็นเลนส์ของช่างภาพปาปารัสซี่เต็มไปหมด มันทำให้ฉันตกใจ เรียกได้ว่าเป็นประสบการณ์ที่ค่อนข้างตื่นตระหนกมากทีเดียว”

เกี่ยวกับการแต่งกาย

นอกจากงานที่เปลี่ยนไปของมายา สิ่งที่ต้องเปลี่ยนไปในทันทีคือเครื่องแต่งกาย เพราะจากเสื้อกันเปื้อนที่เธอเคยใส่ในการทำงานที่แวลูช็อป ไปสู่การแต่งกายเพื่อไปทำงานที่บริษัทยักษ์ใหญ่ย่าน เมดิสัน อเวนิว ผู้สร้างภาพยนตร์ Second Act ต้องได้ตัวนักออกแบบเครื่องแต่งกายระดับชั้นนำเข้ามาร่วมงาน เขาจึงหันไปที่ แพทริเชีย ฟิลด์ส งานของเธอเคยเป็นที่ประจักษ์ในเวที BAFTA จากผลงานการเข้าชิงรางวัลจากเรื่อง The Devil Wears Prada และเคยได้รับรางวัลแต่งกายยอดเยี่ยมในเวที Emmy Awards จากซีรีส์ยอดฮิตอย่างเรื่อง Sex and the City นอกจากนั้นเธอยังมาจากย่านควีนส์ และรู้ว่าผู้คนที่นั่นแต่งตัวกันอย่างไร

“เราตั้งใจทำให้มายาจากควีนส์จะออกแนวแซ่บๆ กว่า มายาจากแมนฮัตตัน” แพทริเชียกล่าว “ต่างหูคู่ใหญ่ ผมที่ตีทรงให้สูงกว่าคนทั่วไป และแน่นอนว่าสาวๆ จากควีนส์ต้องเป็นผู้หญิงที่มีความมั่นใจสูงมากเพราะพวกเธอคุ้นชินกับแต่งตัวแบบสตรีท”

ฟิลด์ส สนุกกับการจัดการแต่งกายที่ขัดแย้ง “มายากลายเป็นสาวสุดชิค ขึ้นมาทันทีเมื่อเธอได้งานที่แมนฮัตตัน เราเพิ่มลูกเล่นของการใส่ผ้าไหม ทำสิ่งต่างๆ ให้ดูหรูหรา ทะมัดทะแมงมากยิ่งขึ้น แต่ก็ยังไม่ทิ้งบุคลิกของความเป็นสาวควีนส์ คุณทิ้งสไตล์เก่าของเธอไปไม่ได้ ไม่อย่างนั้นคนดูจะไม่เชื่อ”

“สำหรับเขามันคือการผสมผสาน” ฟิลด์ส กล่าว “จากหัวไปสู่เท้า การแต่งกายโทนเดียวมันไม่น่าสนใจ ถ้าชุดมันดูอ่อน ฉันจะใส่อะไรเข้าไปสักอย่างที่ดูแปลกตา หรือถ้าเป็นกางเกงขายาว ฉันจะหยิบเอาเข็มขัดมาใช้เพื่อให้เห็นเอวและสะโพก การทำให้ผู้ชมตื่นเต้นกับการผสมผสานของเสื้อผ้าที่พวกเขาคาดไม่ถึงมันสนุกมาก”

การทำงานร่วมกับเจนนิเฟอร์ โลเปซ เป็นสิ่งที่ดีมาก “เธอรู้ว่าเธอต้องการอะไร และเธอรู้วิธีสื่อสารมาให้เราเข้าใจ” ฟิลด์ส กล่าว “ถ้ามีบางอย่างที่เธอไม่ชอบหรือไม่สบายใจที่จะใส่มัน เธอจะบอกกับฉันและให้เหตุผลกับฉันตรงๆ ซึ่งมันเป็นอะไรที่เราเข้าใจได้ เธอมีประสบการณ์ และนั่นคือการทำงานที่สบายใจมากที่สุด”

เจนนิเฟอร์ โลเปซ มีความสุขกับการทำงานร่วมกับฟิลด์สเช่นกัน “การได้ร่วมงานกับฟิลด์ส สนุกมากๆ ฉันรักแฟชั่น และฉันรักการเปิดรับสิ่งที่ฉันไม่ค่อยได้ทำ เพื่อคาแรกเตอร์ของตัวละครและการรังสรรค์การแต่งกายให้เข้ากับภาพยนตร์ให้มากที่สุด”

“ฉันเชื่อมันในตัวของฟิลด์ส เพราะเธอเป็นศิลปินที่ฉันเคารพ เธอให้ฉันทำในสิ่งที่ฉันไม่เคยทำ เธอบอกให้ฉันใส่รองเท้าหนังแบบพนักงานออฟฟิศ ซึ่งฉันไม่เคยได้ใส่มันเลยสักครั้งในชีวิต ซึ่งเธอบอกว่ามันคือรองเท้าหนังสูง 5 นิ้วจาก หลุยส์ วิตตอง ฉันก็แบบว่า งั้นก็ได้นะ..” เจนนิเฟอร์ โลเปซ กล่าว

ฟิลด์ส ไม่ได้เพียงทำให้ เจนนิเฟอร์ ทำงานง่ายขึ้นเพียงคนเดียวเท่านั้น เธอยังช่วย แอชฟอร์ด ในบทของ ฮิลดี้ ด้วย “หลังจากที่ฉันได้ลองชุดที่ฟิลด์สคัดมาให้ ฉันเดินเข้าไปกอดเธอและกล่าวขอบคุณ เพราะมันทำให้เธอได้ค้นพบคาแรกเตอร์ที่แท้จริงของฮิลดี้ ฉันเข้าใจแล้วว่าบทของฉันจะต้องเป็นคนแบบไหน ซึ่งมันเยี่ยมมากเลย ที่คุณสามารถเข้าใจตัวละครได้ด้วยชุดแต่งกาย” แอชฟอร์ด กล่าว

ไม่เพียงแค่นักแสดงเท่านั้น ฟิลด์ส ยังส่งผลไปยังผู้กำกับอีกด้วย “ผมรักเธอมาก เพราะผมไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องการแต่งกายเลยสักนิด” ซีกัล กล่าว “ผมพูดกับเธอว่า แพท ช่วยผมหน่อย ผมคิดว่าซีนวันนี้แดดจะร้อนนะ ผมอยากให้เธอดูอุ่นๆ” นั่นคือสิ่งที่ซีกัลบอก แล้วเธอก็จัดการให้เขาได้อย่างง่ายดาย

เมื่อสิ่งดีๆ ได้เกิดขึ้น

ภาพยนตร์เรื่อง Second Act ได้สร้างบทสนทนาดีๆ ระหว่างการถ่ายทำ ไม่ว่าจะเป็นโอกาสครั้งที่สอง การเริ่มต้นใหม่ การไม่ยอมพ่ายแพ้ การที่ผู้หญิงแสดงพลังเพื่อตัวเอง หรือแม้กระทั่งช่วยเหลือกันระหว่างเพื่อน  การที่เราไม่ยอมให้เหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งมากำหนดชะตาชีวิตของเราเอง เกี่ยวกับการที่เราสานต่อความฝัน ไม่ว่าคุณมาจากที่ไหน อายุเท่าไหร่ หรือเพศอะไร

“มายาได้เรียนรู้ว่าเธอไม่จำเป็นที่ก้าวย่ำอยู่ที่เดิม” เจนนิเฟอร์ กล่าว “คุณเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ คุณเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ได้ คุณสามารถเติบโต สำหรับฉัน ข้อความนี้มันเกี่ยวข้องกับทุกคน โดยเฉพาะยิ่งถ้าคุณเป็นผู้หญิง”

อีเลน เห็นด้วยกับความคิดนี้ “หนังเรื่องนี้เป็นสิ่งย้ำเตือนใจเราอยู่เสมอว่าทุกสิ่งอย่างสมควรได้รับโอกาสครั้งที่สอง ฉันคิดว่าโลกนี้ เวลานี้ ผู้คนต้องได้รับการย้ำเตือนว่า คุณแค่ต้องมีความกล้าที่จะคิดว่าในอนาคตอีก 40 ปีข้างหน้าของคุณจะเป็นอย่างไร”

ปีเตอร์ ซีกัล กล่าวว่า “Second Act สำหรับเขามันคือโอกาสครั้งที่สอง เมื่อสิ่งดีๆ ได้เกิดขึ้น เมื่อเราได้พบกับการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และเมื่อโอกาสมันมาแล้ว เราจำเป็นที่จะต้องกล้าตัดสินใจ เหมือนกับที่บทภาพยนตร์ต้องการเสนอว่า สิ่งเดียวที่หยุดยั้งคุณไว้ คือตัวของคุณเอง”

เจนนิเฟอร์ โลเปซ

เธอเป็นทั้งนักแสดง, นักร้อง, โปรดิวเซอร์, แฟชั่นดีไซเนอร์ และนักเขียนที่ติดอันดับขายดีของ New York Times เจนนิเฟอร์ โลเปซ ประสบความสำเร็จและเป็นที่รู้จักจากทั่วโลกในวงการบันเทิง ผลงานคอนเสิร์ตเวิลด์ทัวร์จาก “Dance Again” มียอดขายบัตรกว่า 1 ล้านใบ ภาพยนตร์ที่เธอร่วมสร้างและแสดง รวมกันแล้วทำเงินทั่วโลกไปกว่า 1.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ ธุรกิจน้ำหอมของเธอทำรายได้ไปเกินกว่า 2 พันล้านเหรียญ

ผลงานล่าสุดของเธอคือแสดงในซีรีส์เรื่อง Shade of Blue ที่ทำเรตติ้งได้ยอดเยี่ยมให้กับสถานี NBC เธอเริ่มต้นงานแสดงในปี 1995 จากเรื่อง Mi Familia จากนั้นก็เริ่มเส้นทางการแสดงจากภาพยนตร์ชื่อดังหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น The Wedding Planner, Maid in Manhattan, Monster in Law, Anaconda, The Cell, Shall We Dance, Enough, Out of Sight, An Unfinished Life และในปี 2018 เธอได้ติดอยู่ใน Top 100 บุคคลที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดของโลกจากการจัดอันดับของนิตยสาร TIME’s

วาเนซซ่า ฮัดเกนส์ รับบท โซอี้

เธอเริ่มอาชีพการแสดงจากการเล่นละครเวที ตั้งแต่อายุ 8 ปี และเธอรับรู้ถึงอาชีพที่เธอรักตั้งแต่ยังเด็กและทำตามฝันมาตั้งแต่นั้น เธอเคยแสดงในละเครเวทีอย่าง Evita, Carousel, The Wizard of Oz, The King & I, Cinderella ที่มอบโอกาสให้เธอได้ร้องเพลงและเต้น

ภาพยนตร์เรื่องแรกของเธอคือ Thirteen ร่วมกับนักแสดงอย่าง ฮอลลี ฮันเตอร์ และ อีวาน เรเชล วูด แต่เรื่องที่ทำให้เธอโด่งดังคือการแสดงในช่องดิสนีย์ อย่างเรื่อง High School Musical ที่ทำให้เธอได้รับคำชมและเป็นที่สนใจจากผู้ชม

ไมโล เวนทิมิเกลีย รับบท เทรย์

นักแสดงอเมริกัน ผู้กำกับ และ โปรดิวเซอร์ ปัจจุบันมีผลงานการแสดงในซีรีส์ This is Us และได้รับการเสนอเข้าชิงนักแสดงยอดเยี่ยมจากเวที Emmy Awards ผลงานสร้างชื่อของเขามาจากการแสดงในซีรีส์ชื่อดังจากเรื่อง Heroes และผลงานภาพยนตร์ที่ผ่านมาของเขา มีตั้งแต่ Rocky ภาคที่ 6, That’s my Boy, Grown Ups 2, Grace of Monaco, Heat, The Killing Season, Armored และ Gamer

Comments

comments